วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ขอบข่ายและองค์ประกอบของเทคโนโลยีการศึกษา


ขอบข่ายของเทคโนโลยีทางการศึกษาการออกแบบ การพัฒนา การใช้ การจัดการ และการประเมิน ส่วนประกอบเหล่านี้ เป็นขอบข่ายพื้นฐานความรู้และองค์ประกอบที่สำคัญในสาขาวิชานี้ เรียกว่า 5 ขอบข่ายพื้นฐานของสาขาวิชาเทคโนโลยีทางการสอน ดังนี้
1.การออกแบบ(Design) แสดงให้เห็นถึงการสร้าง หรือก่อให้เกิดทฤษฎีที่กว้างขวางที่สุดของเทคโนโลยีการสอนในศาสตร์ทางการศึกษา
2.การพัฒนา(Development) ได้มีการเจริญก้าวหน้าและแสดงให้เห็นแนวทางในการปฏิบัติ
3.การใช้(Utilization) ทางด้านนี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้า ดังเช่นทฤษฎีและการปฏิบัติ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้มีการดำเนินการกันมากเกี่ยวกับด้าน การใช้สื่อการสอนมากมาย แต่ยังมีด้านอื่นๆ นอกเหนือจากการใช้สื่อการสอนที่ไม่ได้รับการใส่ใจ
4.การจัดการ(Management) เป็นด้านหลักที่สำคัญของสาขานี้ เพราะจะต้องเกี่ยวข้องกับแหล่งเรียนรู้ ที่จะต้องสนับสนุนในทุกๆองค์ประกอบ ซึ่งจะต้องมีการจัดระเบียบและแนะนำ หรือการจัดการ
5.การประเมิน(Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อปรับปรุง




ปัจจุบัน ทุกคนตระหนักดีว่าคอมพิวเตอร์มิใช่เป็นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องจัดหาองค์ประกอบต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้พร้อม ๆ กัน บริษัท IBM ได้ใช้หลักการ 4 C’s Components ในการประเมินความพร้อมของประเทศต่าง ๆ ในการให้บริการความรู้ด้วยระบบ e-Learning หลักการ 4 C’s Components ประกอบด้วย Connectivity, Content, Capacity building และ Culture องค์ประกอบทั้ง 4 นี้ สามารถใช้เป็นแนวทางในการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศการศึกษาให้มีประสิทธิภาพได้ ดังนี้

1.Connectivity หมายถึง องค์ประกอบด้านเครื่องคอมพิวเตอร์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เป็นองค์ประกอบที่นับได้ว่ามีการจัดหาดำเนินการมานานหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากองค์ประกอบนี้มีค่าใช้จ่ายสูง ไม่สามารถทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงดำเนินการต่อเนื่องมานานหลายปี โดยมีการจัดทำแผนกำหนดเป้าหมายสัดส่วนคอมพิวเตอร์กับจำนวนนักเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ในปี งบประมาณ 2549 ได้มีแผนจัดซื้อคอมพิวเตอร์จำนวน 250,000 เครื่อง ให้แก่โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้มีสัดส่วน นักเรียน 20 คน ต่อ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการพัฒนาเรื่องนี้ไปแล้วอย่างเช่นเกาหลีใต้และมาเลเซีย จะมีสัดส่วนที่ นักเรียน 5 คน ต่อ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง เท่านั้น
การต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนประกอบขององค์ประกอบนี้ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตกำลังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดคุณค่าในการใช้เทคโนโลยีเข้าไปพัฒนาการศึกษา การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารทางไกล ซึ่งมีหลายรูปแบบ จึงจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ (ดูภาพประกอบ)


2. Content หมายถึง สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เพื่อการสื่อสารแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ ประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ Animation และภาพเคลื่อนไหว ซึ่งรวมถึงวิดีทัศน์ด้วย องค์ประกอบของ Content แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ การสร้าง การนำเสนอ และ การเข้าถึง
(1) การสร้าง (Create) หมายถึง การเขียนเนื้อหา รวบรวม ออกแบบ และจัดทำเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์
(2) การนำเสนอ (Offer) หมายถึง การจัดทำสื่อให้อยู่ในรูปแบบที่จะนำไปใช้งานได้ เช่น บันทึกลงในแผ่นซีดี (CD) หรือดีวีดี (DVD) บันทึกอยู่ในเว็บไซต์ ตลอดจนจัดเข้าอยู่ในระบบของ CMS (Content Management System)
(3) การเข้าถึง (Access) หมายถึง การที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงหรือนำสื่อไปใช้ได้ เช่น การดาวน์โหลด (Download) จากเว็บไซต์ การนำซีดีหรือดีวีดีไปติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ ตลอดจนการเรียนรู้วิธีการใช้สื่อต่าง ๆ ที่ต้องการเรียนรู้
ในการสร้างเนื้อหา สามารถรวบรวมจากส่วนย่อยซึ่งอาจเป็นข้อความหรือรูปภาพต่าง ๆ นำมารวมเข้าด้วยกันก็จะได้หัวข้อเรื่อง นำหัวข้อเรื่องต่าง ๆ มาต่อเข้าด้วยกันก็จะได้บทเรียนจนกระทั่งเป็นหน่วยการเรียนรู้ต่อไป
เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกอาจเรียกว่า เป็นเครื่องมือสร้างสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เหมาะที่จะใช้สร้างสื่อเฉพาะส่วน เช่น Word Processing, Flash, Dream และ Power Point เป็นต้น เครื่องมืออีกประเภทหนึ่งอาจเรียกว่าเป็นโปรแกรมสร้างสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สามารถใช้สร้างสื่อให้มีเนื้อหาเป็นเรื่องราวได้ ถ้าเป็นบทเรียนสามารถทำได้ทั้งบท เครื่องมือประเภทนี้มีทั้งชนิดที่สร้างบทเรียนเบื้องต้นง่าย ๆ ได้ และบางชนิดสามารถสร้างบทเรียนที่สลับซับซ้อนได้ด้วย โปรแกรมสร้างสื่อที่นิยมใช้กันในประเทศไทยมีมากมายตัวอย่างเช่น Flip Publisher, Tool book, Namo และ Elicitus เป็นต้น โปรแกรมเหล่านี้มักจะมีไดอะแกรมภาพตลอดจนวิดีโอคลิป (Video clip)ให้ด้วย ดังนั้นผู้เริ่มต้นสร้างสื่ออิเล็กทรอนิกส์จึงมักจะใช้เครื่องมือเหล่านี้ และเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นและต้องการสร้างสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลักษณะเฉพาะบางประการก็จะต้องใช้เครื่องมือสร้างสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในประเภทแรกด้วย จึงจะสามารถสร้างสื่อที่มีลักษณะตามความต้องการได้


3. Capacity building หมายถึง การสร้างขีดความสามารถการเรียนรู้ของผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้กำกับนโยบาย ผู้บริหารหน่วยงาน ครูผู้สอน นักเรียน ตลอดจนถึงผู้สร้างสื่อและเจ้าหน้าที่ทางด้านเทคนิค ครูผู้สอนจำเป็นต้องมีทักษะที่จำเป็น 4 ด้าน คือ การใช้สื่อ ทักษะทางด้านเทคนิค การประสานความร่วมมือ และ การสร้างเครื่องช่วยกับผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งครูผู้สอนจะต้องมีหน้าที่หลักในการวิเคราะห์ผู้เรียน กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ การเลือกสื่อการเรียนรู้ การใช้ประโยชน์จากวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องต้องการความร่วมมือจากผู้เรียนและการประเมินผลครู จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพตามหน้าที่ที่มีการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาครูให้มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ และโดยที่ครูมีจำนวนมากประกอบกับความเปลี่ยนแปลงในภารกิจหน้าที่ ทำให้ต้องมีการอบรมครูเป็นจำนวนมากเป็นเวลาที่ยาวนาน ดังนั้น การสร้างขีดความสามารถการเรียนรู้จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้าไปใช้ในการเรียนการสอนประสบความสำเร็จหรือมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
4. Culture หมายถึง วัฒนธรรมในการเรียนการสอนที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากการเรียนการสอนที่ครูพบกับนักเรียน และให้ความรู้ตามที่กำหนดไว้ในตารางเรียน ซึ่งมีเวลาที่ชัดเจนและจำกัด โดยครูเป็นผู้สอนให้ความรู้แก่นักเรียนไปตามขั้นตอนที่ครูเป็นผู้กำหนดทั้งหมด เมื่อใช้เทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยที่นักเรียนจะต้องรับผิดชอบต่อบทเรียนด้วยตัวเองมากขึ้น นักเรียนจะสามารถเรียนรู้อย่างอิสระตามเวลาที่กำหนดขึ้นเอง รู้จักการค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ตลอดจนการสังเคราะห์ความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ในขณะเดียวกันครูผู้สอนจะต้องจัดโปรแกรมให้นักเรียนแต่ละคนเรียนตามความสามารถและสนใจของแต่ละคนที่แตกต่างกัน จะต้องเข้าใจพฤติกรรมความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้น ตลอดจนยอมรับความแตกต่างเหล่านั้นและนำไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่พึงประสงค์ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้าสู่เกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานกลางให้ได้ ดังนั้น นวัตกรรมการเรียนการสอนจึงมีความแตกต่างจากเดิมมาก และจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้นจึงจะทำให้การใช้เทคโนโลยีทางการศึกษาเกิดผลดียิ่งขึ้น
องค์ประกอบทั้ง 4 ประการนี้ ต้องใช้ร่วมกันและต้องได้รับการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน จึงจะสามารถใช้เทคโนโลยีทางการศึกษาให้เกิดผลดีได้ หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งจะทำให้ไม่สามารถใช้งานไดอย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น